
โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 115 สาย กำแพงเพชร - พิจิตร ตอน บ.ทุ่งรวงทอง - บ.บึงบัว
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลย 115 สายกำแพงเพชร - พิจิตร มีความยาวทั้งสิ้น 90.804 ก.ม. เริ่มต้นจากเขตเทศบาลเมือง อ.เมือง จ.กำแพงเพชรผ่านนิคมสร้างตนเองทุ่งโพธิ์ทะเล และผ่านป่าในโครงการป่าสงวนแห่งชาติหนองคล้าคงฉัตร ข้ามแม่น้ำยมที่ อ.สามง่าม จ.พิจิตร และไปบรรจบกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 111 สายพิจิตร - สวกเหล็ก ที่ ก.ม.16 + 115 ตรงเชิงสะพานข้ามแม่น้ำน่าน ในเขตเทศบาลเมือง อ.เมือง จ.พิจิตร
เส้นทางสายนี้เดิมอยู่ในความรับผิดชอบของจังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดพิจิตรโดยในเขตจังหวัดกำแพงเพชรนั้น ในปี พ.ศ. 2501 กรมประชาสงเคราะห์ได้จัดสรรเงินงบประมาณให้จังหวัดกำแพงเพชร ก่อสร้างทางช่วงนี้ให้เป็นทางผิวลูกรัง กว้าง 8.00 ม. ยาวประมาณ 16.00 ก.ม. มีระดับคันทางค่อนข้างต่ำในระยะที่มีการจัดตั้งนิคมสร้างตนเองทุ่งโพธิ์ทะเลขึ้น และสภาพทางเมื่อก่อนปี พ.ศ.2506 จากนิคมทุ่งโพธิ์ทะเลไปจนถึง อ.สามง่าม จ.พิจิตร นั้น เป็นทางเกวียน ส่วนใหญ่ผ่านป่าและคงทึบ ส่วนจาก อ.สามง่าม จ.พิจิตร ไปจนถึงตัวจังหวัดพิจิตร ระยะทาง 14.635 ก.ม. นั้น ทางจังหวัดพิจิตรได้ก่อสร้างเป็นคันทางกว้าง 5 - 6 ม.ระดับคันทางต่ำเช่นกัน และมีลูกรังบางเป็นระยะ ส่วนอาคารช่องน้ำต่าง ๆ เป็นสะพานไม้ชั่วคราวยวดยานสัญจรไม่ได้ในฤดูฝน
ต่อมา เมื่อต้นปี 2507 กรมทางหลวงได้มอบทางจาก อ.สามง่าม ถึงตัวจังหวัดพิจิตร เป็นทางหลวงจังหวัดหมายเลข ๑๐6๖ มาทำการก่อสร้าง และปรับปรุงสภาพทางให้ขึ้น ซึ่งได้มีการซ่อมสะพาน และใส่ลูกรังให้ตลอดสาย พอให้ยวดยานเดินได้ตลอดปี แต่ก็ยังไม่สะดวกนัก เพราะคันทางแคบ และส่วนมากต่ำน้ำท่วมได้ในฤดูฝนชุก
ในปี พ.ศ. 2508 กรมทางหลวงได้รับมอบทางช่วงต้นทางจากกำแพงเพชรไปยังนิคมทุ่งโพธิ์ทะเล จากจังหวัดกำแพงเพชรมาปรับปรุงและรักษาสภาพทาง ต่อมาจึงได้กำหนดทางหลวงสายกำแพงเพชร - พิจิตร เป็นทางหลวงแผ่นดินสายรอง หมายเลย 115 ตลอดทั้งสาย
โดยกรมทางหลวงได้เล็งเห็นความสำคัญ และความจำเป็นที่จะต้องเร่งรีบก่อสร้างทางสายนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ จึงได้วางโครงการก่อสร้างทางหลวงสายกำแพงเพชร - พิจิตร ไว้ในโครงการ 5 ปี (2515 - 2519) โดยแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ขั้น คือ
ขั้นที่ 1 เป็นงานดิน และผิวทางลูกรังชั่วคราว กรมทางหลวงเป็นผู้ดำเนินการเอง โดยหลังจากที่เครื่องจักรต่าง ๆ แล้วเสร็จจากการใช้งานก่อสร้างทางสายกำแพงเพชร - สุโขทัย แล้วก็มาดำเนินการในทางสายนี้แต่ปี 2515 และรับทางจาก ก.ม. 0 + 000.000 - 2 + 350.681 จากเทศบาลเมือง จ.กำแพงเพชรมาเพื่อปรับปรุง และก่อสร้างด้วย รวมทั้งงานสะพาน ๑๓ แห่ง และท่ออุโมงค์อีก 17 แห่ง กรมทางหลวงก็เป็นผู้ดำเนินการเองด้วย โดยให้โครงการก่อสร้างสะพานที่ 2 จ.พิจิตร เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลอดสาย
ขั้นที่ 2 เป็นงานก่อสร้างผิวทางชั้นบน นับตั้งแต่ชั้นรองพื้นทาง จนถึงผิวทาง โดยการจ้างเหมา ซึ่งได้แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ตอน คือ ตอนที่ 1 จาก ก.ม. 1 + 647.000 - ก.ม. 68 + 400.000 เป็นระยะทาง 66.753 ก.ม. ตอนที่ 2 จาก ก.ม. 68 + 400.000 - ก.ม. 90 + 804.250 เป็นระยะทาง 22.447 ก.ม. ซึ่งบริษัท ส.ไพบูลย์เสถียร จำกัด เป็นผู้ประมูลได้ ทั้ง 2 ตอน และได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ต้นเดือน กันยายน 2518
เมื่อการก่อสร้างทางสายนี้เสร็จลงเรียบร้อยแล้ว ก็จะเพิ่มความสะดวกในการคมนาคมกับประชาชนในภูมิภาคแถบนี้ ซึ่งมีอยู่เป็นอันมาก ตามที่ราบลุ่ม ริมฝั่งแม่น้ำยม และแม่น้ำน่านตอนล่าง นับตั้งแต่ใต้จังหวัดพิษณุโลก ลงไปจนถึง อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร สามารถขนส่งผลิตผลทางเกษตรกรรม และการประมง ออกสู่ตลาดได้อย่างสะดวก และรวดเร็วโดยใช้เส้นทางนี้เพียง 90 ก.ม. เท่านั้น อันเป็นการนำความเจริญไปสู่ท้องถิ่น แห่งนี้ในอนาคต
เส้นทางสายนี้เดิมอยู่ในความรับผิดชอบของจังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดพิจิตรโดยในเขตจังหวัดกำแพงเพชรนั้น ในปี พ.ศ. 2501 กรมประชาสงเคราะห์ได้จัดสรรเงินงบประมาณให้จังหวัดกำแพงเพชร ก่อสร้างทางช่วงนี้ให้เป็นทางผิวลูกรัง กว้าง 8.00 ม. ยาวประมาณ 16.00 ก.ม. มีระดับคันทางค่อนข้างต่ำในระยะที่มีการจัดตั้งนิคมสร้างตนเองทุ่งโพธิ์ทะเลขึ้น และสภาพทางเมื่อก่อนปี พ.ศ.2506 จากนิคมทุ่งโพธิ์ทะเลไปจนถึง อ.สามง่าม จ.พิจิตร นั้น เป็นทางเกวียน ส่วนใหญ่ผ่านป่าและคงทึบ ส่วนจาก อ.สามง่าม จ.พิจิตร ไปจนถึงตัวจังหวัดพิจิตร ระยะทาง 14.635 ก.ม. นั้น ทางจังหวัดพิจิตรได้ก่อสร้างเป็นคันทางกว้าง 5 - 6 ม.ระดับคันทางต่ำเช่นกัน และมีลูกรังบางเป็นระยะ ส่วนอาคารช่องน้ำต่าง ๆ เป็นสะพานไม้ชั่วคราวยวดยานสัญจรไม่ได้ในฤดูฝน
ต่อมา เมื่อต้นปี 2507 กรมทางหลวงได้มอบทางจาก อ.สามง่าม ถึงตัวจังหวัดพิจิตร เป็นทางหลวงจังหวัดหมายเลข ๑๐6๖ มาทำการก่อสร้าง และปรับปรุงสภาพทางให้ขึ้น ซึ่งได้มีการซ่อมสะพาน และใส่ลูกรังให้ตลอดสาย พอให้ยวดยานเดินได้ตลอดปี แต่ก็ยังไม่สะดวกนัก เพราะคันทางแคบ และส่วนมากต่ำน้ำท่วมได้ในฤดูฝนชุก
ในปี พ.ศ. 2508 กรมทางหลวงได้รับมอบทางช่วงต้นทางจากกำแพงเพชรไปยังนิคมทุ่งโพธิ์ทะเล จากจังหวัดกำแพงเพชรมาปรับปรุงและรักษาสภาพทาง ต่อมาจึงได้กำหนดทางหลวงสายกำแพงเพชร - พิจิตร เป็นทางหลวงแผ่นดินสายรอง หมายเลย 115 ตลอดทั้งสาย
โดยกรมทางหลวงได้เล็งเห็นความสำคัญ และความจำเป็นที่จะต้องเร่งรีบก่อสร้างทางสายนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ จึงได้วางโครงการก่อสร้างทางหลวงสายกำแพงเพชร - พิจิตร ไว้ในโครงการ 5 ปี (2515 - 2519) โดยแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ขั้น คือ
ขั้นที่ 1 เป็นงานดิน และผิวทางลูกรังชั่วคราว กรมทางหลวงเป็นผู้ดำเนินการเอง โดยหลังจากที่เครื่องจักรต่าง ๆ แล้วเสร็จจากการใช้งานก่อสร้างทางสายกำแพงเพชร - สุโขทัย แล้วก็มาดำเนินการในทางสายนี้แต่ปี 2515 และรับทางจาก ก.ม. 0 + 000.000 - 2 + 350.681 จากเทศบาลเมือง จ.กำแพงเพชรมาเพื่อปรับปรุง และก่อสร้างด้วย รวมทั้งงานสะพาน ๑๓ แห่ง และท่ออุโมงค์อีก 17 แห่ง กรมทางหลวงก็เป็นผู้ดำเนินการเองด้วย โดยให้โครงการก่อสร้างสะพานที่ 2 จ.พิจิตร เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลอดสาย
ขั้นที่ 2 เป็นงานก่อสร้างผิวทางชั้นบน นับตั้งแต่ชั้นรองพื้นทาง จนถึงผิวทาง โดยการจ้างเหมา ซึ่งได้แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ตอน คือ ตอนที่ 1 จาก ก.ม. 1 + 647.000 - ก.ม. 68 + 400.000 เป็นระยะทาง 66.753 ก.ม. ตอนที่ 2 จาก ก.ม. 68 + 400.000 - ก.ม. 90 + 804.250 เป็นระยะทาง 22.447 ก.ม. ซึ่งบริษัท ส.ไพบูลย์เสถียร จำกัด เป็นผู้ประมูลได้ ทั้ง 2 ตอน และได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ต้นเดือน กันยายน 2518
เมื่อการก่อสร้างทางสายนี้เสร็จลงเรียบร้อยแล้ว ก็จะเพิ่มความสะดวกในการคมนาคมกับประชาชนในภูมิภาคแถบนี้ ซึ่งมีอยู่เป็นอันมาก ตามที่ราบลุ่ม ริมฝั่งแม่น้ำยม และแม่น้ำน่านตอนล่าง นับตั้งแต่ใต้จังหวัดพิษณุโลก ลงไปจนถึง อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร สามารถขนส่งผลิตผลทางเกษตรกรรม และการประมง ออกสู่ตลาดได้อย่างสะดวก และรวดเร็วโดยใช้เส้นทางนี้เพียง 90 ก.ม. เท่านั้น อันเป็นการนำความเจริญไปสู่ท้องถิ่น แห่งนี้ในอนาคต
